ข้อ 1. กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว

1.1    กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย


กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย  คือ  การกินอาหารหลายๆ ชนิด เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ  ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ  ถ้ากินอาหารไม่ครบ 5 หมู่  หรือกินอาหารซ้ำซากเพียงบางชนิดทุกวัน  อาจทำให้ได้รับสารอาหารบางประเภทไม่เพียงพอ  หรือมากเกินไป  อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารหลายประเภท  ได้แก่  โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แร่ธาตุ วิตามิน น้ำ และยังมีสารอาหารอื่นๆ  เช่น  ใยอาหารซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย  ทำให้อวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ตามปกติ ในอาหารแต่ละชนิดจะประกอบด้วยสารอาหารต่างๆ ในปริมาณมากน้อยต่างกันครับ  โดยไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่จะมีสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ดังนั้น  ในวันหนึ่งๆ เราต้องกินอาหารหลายๆชนิด  เพื่อให้ได้สารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ
ประเทศไทยเราได้แบ่งอาหารออกเป็น 5 หมู่ โดยจัดอาหารที่ให้สารอาหารคล้ายกัน  เข้าไวในหมู่เดียวกัน  เพื่อให้เราสามารถพิจารณาได้ว่า กินอาหารครบถ้วนเพียงพอกับความต้องการของร่างกายหรือไม่ ซึ่งอาหารหลัก 5 หมู่ ก็สามารถแบ่งได้ออกได้ดังนี้ครับ
              หมู่ที่ 1 นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้งและงา ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเจริญเติมโต แข็งแรง และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
                หมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง เผือกมัน น้ำตาล ให้พลังงานแก่ร่างกาย
                หมู่ที่ 3 พืชผักต่างๆ เพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ
                หมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆ ให้ประโยชน์เช่นเดียวกับหมู่ที่ 3
                หมู่ที่ 5 น้ำมันและไขมันจากพื้ชและสัตว์  ซึ่งจะให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ดังนั้น  ในวันหนึ่งๆ เราจะต้องเลือกกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่พอเหมาะ  และในแต่ละหมู่ควรเลือกกินให้หลากหลายเพื่อให้ได้สารอาหารต่างๆ  ครบตามต้องการของร่างกาย อันจะนำไปสู่การกินดีมีผลให้เกิด “ภาวะโภชนาการดี”


1.2   หมั่นดูแลน้ำหนักตัว
“น้ำหนักตัว”  ใช้เป็นเครื่องบ่งชี้สำคัญที่บอกถึงภาวะสุขภาพของคนเราว่าดีหรือไม่  เพราะแต่ละคนจะต้องมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมตาวัย  และได้สัดส่วนกับความสูงของตัวเอง ดังนั้น  การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์โดยการกินอาหารให้เหมาะสม  ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง



ถ้าน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ปกติหรือผอมไป  จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่ายและประสิทธิภาพการเรียนและการทำงานด้อยลงกว่าปกติ  ในทางตรงกันข้าม  หากมีน้ำหนักมากกว่าปกติหรืออ้วนไป  จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจ  และหลอดเลือด, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง  และโรคมะเร็งบางชนิดนั้น เป็นสาเหตุการตายลำดับหนึ่งของไทย
การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยการกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ  และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม  จะช่วยให้สุขภาพดีมีชีวิตยืนยาวและเป็นสุข การประเมินว่า  น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่นั้นทำได้หลายวิธี  แต่วิธีที่ง่ายและดีที่สุด คือ
ในเด็ก     ใช้ค่าน้ำหนักตามเกณฑ์อายุหรือค่าน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงเปรียบเทียบกับเกณฑ์อ้างอิง
ในผู้ใหญ่ ใช้ดัชนีมวลกายเป็นเกณฑ์  ตัดสินโดยคำนวนจากสูตรดังนี้
                ดัชนีมวลกาย น้ำหนัก (กิโลกรัม) ส่วนสูง(เมตร)
น้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์ปกติมีค่าอยู่ระหว่าง
                18.5 – 24.9 กิโลกรัม / ตารางเมตร (กก. / ม.2)
                ถ้าน้อยกว่า 18.5 กก. / ม.2 แสดงว่าผอมหรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
                ถ้ามีค่าอยู่ระหว่าง 25 – 29.9 กก. / ม.2 แสดงว่าน้ำหนักเกิน
                ถ้ามีค่าตั้งแต่ 30 กก. / ม.2 ขึ้นไป แสดงว่าเป็นโรคอ้วน
                การออกกำลังกายที่เหมาสมตามวัยและสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง  เป็นการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ  การออกกำลังกายแต่ละครั้งควรทำอย่างต่อเนื่องนานประมาณ 20 – 30 นาที  เพื่อให้กล้ามเนื้อของร่างกายและกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง  การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นนอกจากนั้นยังช่วยให้ระบบต่างๆ  ของร่างกายทำหน้าที่เป็นปกติและที่สำคัญคือ  ยังช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ด้วยครับ
                ทุกคนควรหมั่นดูแลน้ำหนักของตนเองให้อยู่ในเกณฑ์ปกติควรชั่งน้ำหนักตัวอย่างน้อยเดือนละครั้ง  หากน้ำหนักตัวน้อยควรกินอาหารที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ถ้าน้ำหนักตัวมากก็ควรลดการกินอาหารลง โดยเฉพาะอาหารประเภทไขมัน  น้ำตาล และนอกจากนั้นควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น