ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องเริ่มหันมาดูแลสุขภาพ


“อาหารคือตัวเรา” คำกล่าวนี้เป็นจริงเสมอ ผมไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนเป็นอาหารนะครับ อย่าพึ่งเข้าใจผิด ที่ผมเปรียบเทียบเช่นนี้เพราะสิ่งต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเรานั้น  ล้วนมาจกาอาหารทที่เรากินเข้าไป  เริ่มตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เราได้อาหารจากที่แม่กินเข้าไปเพื่อไปสร้างโครงร่างเบือดเนื้อให้เป็นตัวราจนกระทั่งคลอดออกมาเป็นทารก  เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จนถึงวัยผู้สูงอายุ เราต้องกินอาหารทุกวัน จริงมั้ยครับ เพราะอาหารไม่เพียงแต่จะนำไปประกอบเป็นส่วนต่างๆ ของร่างกายเท่านั้น  แต่ยังทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข  หรือมีภาวะโภชนาการที่ดี  แต่ถ้าหากกินอาหารไม่ถูกต้อง  เพียงพอ  ก็จะทำให้เราเกิดปัญหาโภชนาการได้
ปัจจุบัน  คนไทยยังประสบปัญหาโภชนาการอยู่มาก  ไม่ว่าจะเป็นการขาดสารอาหาร  เช่น  โรคขาดโปรตีนและพลังงาน  โรคขาดสารไอโอดีน  โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก  โรคเหล่านี้ทำให้เด็กไทยเติบโตและมีพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองที่ช้ากว่าปกติและเจ็บป่วยง่าย  ถ้าเกิดในผู้ใหญ่ก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ สมรรถภาพในการทำงานต่ำ ในขณะเดียวกัน  ภาวะโคชนาการเกินนั้น ก็กำลังเป็นปัญหาใหม่ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ  อันจะนำไปสู่โรคที่เกี่ยวข้องอื่น  เช่น  โรคอ้วน  โรคหัวใจขาดเลือด  โรคมะเร็ง  โรคเบาหวาน  และโรคความดันโลหิตสูง  เป็นต้น  ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของคนไทยในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว
ปัญหาโภชนาการของคนไทยดังกล่าวนั้นเกิดจากหลากหลายสาเหตุ  แต่หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญคือ  คนไทยยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้อง  จึงทำให้ขาดความรู้และเจตคติที่ดีต่อการกินอาหารเพื่อการมีภาวะโคชนาการและสุขภาพที่ดี  ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้ทำ blog นี้ขึ้น เพื่อให้ท่านที่สนใจที่จะเริ่มดูแลสุขภาพ ได้เรียนรู้วิธีดูแลสุขภาพ  และได้รู้จักกับอาหารและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยให้ท่านมีสุขภาพดี แข็งแรง และห่างไกลโรคกันครับ

มาทำความรู้จักกับ “แมคโครไบโอติส์” กันหน่อย


“เชื่อกันว่าการกินแบบแมคโครไบโอติกส์นี้ จะเป็นการช่วยเพิ่มพลังชีวิต  ทำให้ร่างกายสะอาด บริสุทธิ์ ขับสารพิษในร่างกายออกมาให้หมด”
                “แมคโครไบโอติกส์”  เป็นอีกคำหนึ่งที่มักจะได้ยินเมื่อพูดถึงเรื่องของการกินเพื่อล้างพิษ  ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติของใครหลายๆ คนอยู่ทุกวันนี้  เรามาทำความเข้าใจกันว่า สิ่งที่เรียกว่าแมคโครไบโอติกส์นั้น คืออะไร  แล้วสามารถล้างพิษได้จริงหรือไม่กันดีกว่าครับ
                คำว่า “แมคโคร” หมายความว่า ยิ่งใหญ่ หรือยืนยาว ส่วนคำว่า “ไบโอ” หมายถึง ชีวิต เมื่อนำคำ 2 คำมารวมกัน ก็จะเกิดคำใหม่ว่า แมคโครไบโอติกส์ ซึ่งมีความหมายว่า การมีวิถีชีวิตที่ยิ่งใหญ่และยืนยาว
                แนวทางที่สำคัญของแมคโครไบโอติกส์ คือ การกินอาหารที่มีพลังชีวติที่บริสุทธิ์  และเป็นธรรมชาติที่สุด  โดยหลีกเลี่ยงการทำให้สุกและไม่กินอาหารที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม อีกทั้งในการกินอาหารแต่ละครั้ง ต้องเกิดความรู้สึกหิวเท่านั้น ระหว่างการกินอาหารต้องมีอารมณ์สงบ  ถ้ามีอารมณ์โกรธและกังวลจะมีผลต่อการย่อยอาหาร  ขณะกินอยู่นั้นให้นึกถึงที่มาของอาหาร  ได้แก่  แสงแดด อากาศ น้ำ ธรรมชาติ กินอาหาร 2-3 มื้อต่อวันก็พอ  นอกจากนั้นในการกินแต่ละคำต้องเคี้ยวอาหารให้ละเอียดที่สุด 30-50 ครั้งต่อคำ  ทั้งหมดนั้นถือว่าเป็นหลักการสำคัญและเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตตามวิถีของแมคโครไบโอติกส์
                นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่นอีก เช่น ไม่กินหลังตื่นนอนใหม่ๆ  หรือก่อนเข้านอน  ลดของเหลวและเครื่องดื่ม หลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารจากสัตว์ใหญ่ นม ไข่ หลีกเลี่ยงการใชน้ำตาล หลีกเลี่ยงกาแฟ และแอลกอฮอล์ นิยมบริโภคผักสด ผลไม้สด หลีกเลี่ยงการบริโภคผลไม้นอกฤดูกาล  หมุนเวียอาหารที่บริโภค ภาชนะหุงต้มควรเป็นเครื่องปั้นดินเผาหรือสแตนเลส  หลีกเลี่ยงภาชนะอะลูมิเนียม หรือเคลือบเทฟลอน
                สาเหตุที่คนเราหันมากินตามวิถีแมคโครไบโอติกส์นั้นเป็นเพราะเชื่อว่า  การกินแบบแมคโครไบโอติส์นี้  จะเป็นการช่วยเพิ่มพลังชีวิต  ทำให้ร่างกายสะอาด บริสุทธิ์ ขับสารพิษในร่างกายออกมาให้หมด  แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในคำว่า “พลังชีวิต” ว่าแท้ที่จริงแล้ว มันคืออะไร แล้วแมคโครไบโอติกส์มีความสัมพันธ์กับพลังชีวิตอย่างไรกันแน่
                พลังชีวิต ก็คือ พลังที่เมล็ดพันธุ์พืชสามารถเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลก  หยัดกายขึ้นเหนือผืนดิน  นั้นแล อาหารที่ยังคงมีพลังชีวิต ก็คือ อาหารที่ยังให้สิ่งเหล่านี้กับผู้คน ซึ่งแน่นอนว่า มันเป็นค่าของการเปรียบเทียบ โดยแมคโครไบโอติส์ใช้หลักเกณฑ์ว่า อาหารพื้นฐานที่มาจากแม่ธรรมชาติ (Mother Earth) โดยตรงจะเปี่ยมพลังมากกว่า ดังนั้น พื้ชจะให้พลังชีวิตที่ดีกว่าเนื้อสัตว์ เพราะสัตว์กินพืช ถือเป็นขั้นตอนที่มาจากแหล่งธรรมชาติ หรือในกรณีน้ำดื่ม แมคโครไบโอติกส์ก็เชื่อได้ว่า  น้ำฝน หรือน้ำจากลำธาร ถือว่ามีพลังชีวิตมากกว่าน้ำประปา น้ำดิบมีพลังชีวิตมากกว่าน้ำต้มสุก  และน้ำต้มสุกมีพลลังมากกว่าน้ำต้มสุกค้างคืน ประมาณนี้
                สำหรับอาหารประเภท ธัญพืช อันได้แก่ ข้าว ถั่วต่างๆ นั้น โดยเฉพาะข้าวกล้อง หรือธัญพืชครบรูป ถือกันว่าเป็นอาหารอันเปี่ยมพลังชีวิต เนื่องจากอาหารเหล่านี้เป็นอาหารพื้นฐานและยังสามารถงอกเป็นต้นอ่อนแพร่พันธุ์ต่อไปได้อีกด้วย ซึ่งในกลุ่มธัญพืชนี้ก็มีการลดหลั่นของระดับพลังงานด้วย  เช่น ข้าวกล้องถือว่ามีพลังชีวิตมกกว่าข้าวขัดขาว  ข้าวขัดขาวมีพลังชีวิตมากกว่าข้าวหุงสำเร็จหรือข้าวกระป๋อง
                นอกจากนั้นอาหารที่สร้างพลังชีวิตไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผักสด ข้าวกล้อง ต้นอ่อน เท่านั้น  แต่แมคโครไบโอติกส์ยังให้ความสำคัญกับเอนไซม์และจุลินทรีย์ด้วย  ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าในสำรับอาหารแมคโครไบโอติกส์  จะต้องมีกิมจิ  หรือผักดอง  อยู่ด้วยเสมอ  ซึ่งนั่นก็มีลักษณะคล้ายกับวัฒนธรรมการกินของชาวอีสาน และคนภาคกลางในบางท้องถิ่งของเมืองไทย ประโยชน์ของผักดองเหล่านี้ คือจะเป็นตัวช่วยย่อยอย่างดีสำหรับผู้ที่มีระบบย่อยไม่แข็งแรง  ผู้ที่รับประทานผักสดไม่ได้ มีอาการอืด เฟือ ผักดองจะช่วยลดอาการเหล่านี้  กรรมวิธีของการดองผักพวกนี้  ค่อนข้างสดใหม่  อย่างเช่น อาจาด ผักเสี้นดอง หรือผักดองของชาวอีสาน เป็นต้น ซึ่งนั่นย่อมแตกต่างจากผักดองจากโรงงานอุตสาหกรรมแน่นอน
                เรื่องของดองเหล่านี้ยังรวมไปถึงมิโสะ  น้ำปลา ซีอิ๊วหรือโชยุด้วย  สิ่งเหล่านี้ล้วนจะถูกนำมาปรุงอาหารบ่อยครั้ง  ตามหลักการแล้ว  เครื่องปรุงเหล่านี้ไม่ควรผ่านกรรมวีพาสเจอร์ไรส์  หรือการใช้สารกันบูด ควรผลิตมาจากกรรมวิธีดั้งเดิมที่มีการคัดเชื้อจุลินทรย์ตามธรรมชาติ เก็บในที่สะอาดอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งในส่วนตรงนี้ก็จะคล้ายกับการเก็บถั่วเน่า เทมเป้ หรือแม้กระทั่งเต้าเจี้ยว ของชาวเหนือบ้านเรา  ทั้งหมดนี้หากว่าผ่านกรรมวิธีการผลิตตามธรรมชาติแล้วก็จะถือว่าเป็นอาหารแมคโครไบโอติกส์เช่นกัน
                หากจะสรุปโดยย่อ เกี่ยวกับอาหารแมคโครไบโอติกส์ก็คงจะหมาถึง  “อาหารธรรมชาติที่ผ่านการปรุงแต่งเพียงเล็กน้อย หรือไม่ผ่านกรรมวีธี (Non-processing) เลย เป็นการพยายามคงรูปเดิมไว้ให้มากที่สุด
                สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่เราควรคำนึงถึงไว้เสมอก็คือ อาหารที่มีชีวิตนั้น บูดเน่าได้ แปรเปลี่ยน เป็นไปตามเงื่อนไขธรรมชาติ  ส่วนอาหารที่ไม่เน่าเสีย  คืออาหารที่ผิดธรรมชาติ
                เรื่องของอาหารแมคโครไบโอติกส์  หรือบางคนก็เรียกอาหารเพิ่มพลังชีวิตก็แล้วแต่ นับว่าเป็นหนทางหนึ่งที่ล้างพิษให้แก่ร่างกาย  เป็นการทำให้ร่างกายของมนุษย์นั้น ได้รับอาหารจากธรมมชาติแบบดั้งเดิมที่เป็นมา  ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายของมนุษย์เรานั้นแข็งแรง  เข้มแข็ง และสะอาด บริสุทธิ์มากกว่าเดิม

สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidan)


                แม้ว่าอนุมูลอิสระนั้นจะมีความน่ากลัวเพียงใด  แต่ยุคปัจจุบันได้มีการศึกษาค้นคว้าจนพบสารที่จะมาต้านทานวายร้ายตัวนี้ได้แล้ว  ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า “สารต่อต้านอนุมูลอิสระ” (Antioxidant) สารดังกล่าว เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระ หรือทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ ซึ่งปกติอนุมูลอิสระมีความไวต่อการเข้าทำปฏิกิริยาต่อโมเลกุลอื่นๆ เช่น โครโมโซม โปรตีน กรดอะมิโนและเอนไซม์ ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย เช่น วิตามินอี วิตามินซี และกลูตาไทโอน เป็นต้น  สิ่งที่ถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระนั้น ยกตัวอย่างเช่น วิตามินอี วิตามินซี และกลูตาไทโอน เป็นต้น
                การะบวนการนั้นจะเริ่มจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ จะทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระ จะทำหน้าที่เป็นตัวให้อิเล็กตรอนแก่อนุมูลอิสระ ส่งผลให้อนุมูลอิสระมีความคงตัวหรือเกิดความเสถียร ทำใหอนุมูลอิสระหมดความสามารถในการเข้าจับกับสารชีวโมเลกุลตัวอื่น
                หากจะว่าไปแล้วตามปกติในเซลล์จะมีสารที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่แล้ว  แต่ถ้ามีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นมาก  หรือฤทธิ์การทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระมีน้อยก็จะทำให้มีสารอนุมูลอิสระไปทำอันตรายส่วนประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อที่สำคัญต่างๆ ทั่วร่างกาย เกิดเป็นสารพิษที่สร้างความเสียหายให้ร่างกาย ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
                วิธีแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ก์คือการเสริมสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปในร่างกาย  ซึ่งในอดีตนิยมการกินอาหารเสริมในรูปแบบของแคลซูลหรือเป็นยาน้ำ ซึ่งจะมีราคาค่อยข้างแพงทีเดียว  แต่ในปัจจุบันได้มีการค้นคิดวิธีที่ง่ายและประหยัดกว่า คือการให้สารต้านทานอนุมูลอิสระเข้าไปสู่ร่างกาย ในรูปของสารอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน  โดยสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของร่างกายให้สามารถทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
                สารอาหารที่ว่านี้  เป็นสารอาหารที่หาง่าย ซึ่งเราได้รับจากการรับประทานอาหารทั่วไป  เช่น วิตามินซี วิตามินอี บีตาคาราทีน แคโรทีนอยด์ ไบโอฟลาวานอยด์ เป็นต้น สารเหล่านี้จะไปทำให้เกิดความสมดุลขึ้นกับโครงสร้างของอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายของคนเรา  ซึ่งสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดีและเป็นที่รู้จักกันดี มีอยู่ 3 กลุ่มดังต่อไปนี้
                1.สารบีตาแคโรทีน (Betacarotene)
                สารบีตาแคโรทีนนั้น เป็นตัวที่ช่วยในการเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายให้มากยิ่งขึ้น  เป็นสารที่ต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นตัวที่ป้องกันการกลายพันธุ์และเนื้องอกต่างๆ รวมทั้งยังเป็นตัวที่ลดโอกาสในการเกิดโรคต้อกระจก โรคหัวใจ และมะเร็งอีกด้วย ซึ่งทางการแพทย์นั้นแนะนำให้กินสารบีตาแคโรทีนอย่างน้อย 4 ส่วนของอาหารที่ทานทั้งหมดต่อวัน  เพื่อที่จะมีสุขภาพที่ดี
                บีตาแคโรทีนมีสารสีส้มอยู่มาก ในผักผลไม้ที่มีสีออกส้มหรือเหลือง อาทิเช่น มะม่วงสุก มะละกอ พริก มันเทศ แครอต ฟักทอง นอกจากนี้ ยังพบได้มากในผักที่มีใบเขียวเข้ม จำพวกใบยอ ใบชะพลู ตำลึง อีกด้วย
                2. วิตามินซี
                วิตามินซี ถือว่าเป็นวิตามินตัวสำคัญที่ร่างกายขาดแคลนไม่ได้  ซึ่งมีประโยชน์อยู่หลายอย่าง  แต่นอกเหนือจากนั้นยังเป็นวิตามินที่มีสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี  ซึ่งในด้านของการเสริมสวยหรือบำรุงร่างกาย  มักจะใช้วิตามินซีกันมาก  ทั้งใช้ภายในโดยการทาน และใช้ภายนอกโดยการทาหรือใช้พอกผิว  ขัดผิว  ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี  หากว่าทานและใช้เป็นเวลานานๆ จะสามารถขับพิษในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่  ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะเขือเทศ คะน้า บร็อกโคลี เป็นต้น  ทางการแพทย์แนะนำเอาไว้ว่า คนเราควรได้รับวิตามินซีวันละ 60 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับการกินส้มเขียวหวานขนาดกลาง 1 ผล หรือฝรั่งประมาณ ¼ ผลกลาง นั่นถึงจะมีวิตามินซีเพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวัน
                3. ซีลีเนียม
ชื่อของซีลีเนียมนั้น คงไม่เป็นที่คุ้นหูมากนัก แต่ทางการแพทย์ต่างยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีทีเดียว ซีลีเนียมเป็นเกลือแร่ที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสารการทำงานของเอนไซม์ระหว่างวิตามินอี เอและซี  ได้จากข้าวหอมแดง หอมใหญ่ กระเทียม ต้นหอม ต้นกรเทียม มะเขือเทศ และส่วนใหญ่จะพบมากในอาหารทะเล ไขแดง ตับ ไต เนื้อสัตว์ และเครื่องในต่างๆ
การรับสารต้านอนุมูลอิสระนั้น เหมาะสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย  ซึ่งควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระให้พอเพียงต่อความต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกายระหว่างสารต้านอนุมูลอิสระและอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น  แม้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระไม่สามารถแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว  แต่สามารถชะลอให้ความเสียหายเกิดช้าลงได้

คุณรู้จักมารร้ายที่ชื่อ “อนุมูลอิสระ” หรือยัง


                ในการเผาผลาญอาหารแต่ละครั้งนั้น ร่างกายต้องมีการนำออกซิเจนเข้ามาช่วยในการเผาผลาญ  หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วจะเกิดออกซิเจนที่มีประจุเป็นลบ  ซึ่งสิ่งนั้นถูกเรียกว่า  อนุมูลอิสระ
                เมื่อเราพูดถึงเรื่องสารพิษในร่างกาย  ย่อมจะต้องนึกถึงคำคำหนึ่ง นั่นคืออนุมูลอิสระ (Free radicals)  สำหรับบรรดาคุณผู้หญิงผู้รักสวยรักงาม  ย่อมจะเคยได้ยินคำว่า อนุมูลอิสระ ไม่ว่าจากโฆษณาสินค้าประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ  อาหารเสริมเพื่อสุขภาพหรือแม้แต่เรื่องสำอางเองก็ยังมีการกล่าวถึงคำว่าอนุมูลอิสระเป็นประจำ  เคยที่สงสัยบ้างไหมว่าสิ่งที่เรียกว่าอนุมูลอิสระนั้นคืออะไร  แล้วมันมีความสำคัญอะไรกับการเกิดสารพิษขึ้นในร่างกาย
                ในการแพทย์ยุคปัจจุบัน  ต่างยอมรับกันแล้วว่า  สิ่งที่เรียกกันว่า “อนุมูลอิสระ”  นั้นเป็นตัวต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ  โรคชรา  โรคเสื่อมสมรรถภาพของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายและทีสำคัญยังเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง  สำหรับกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระนั้น  มีจุดเริ่มมมาจากการที่ร่างกายของคนเรานั้น  เกิดกระบวนการเผาผลาญสารอาหารซึ่งในการเผาผลาญอาหารร่างกายของคนเราต้องมีการนำออกซิเจนเข้ามาช่วยในการเผาผลาญ  หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วจะเกิดออกซิเจนที่มีประจุเป็นลบ  ซึ่งสิ่งนั้นถูกเรียกว่า อนุมูลอิสระ
                เมื่อเกิดเป็นตัวอนุมูลอิสระขึ้นมาแล้ว ตัวของมันก็จะเข้าไปรวมตัวกับสารในร่างกายบางชนิดจนทำให้เกิดสารพิษขึ้น  สารพิษตัวนี้นี่แหละที่เป็นตัวทำลายเนื้อเยื่อ  หรือไม่ก็จะเข้าไปในระบบพันธุกรรมแล้วทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในเซลล์ การเกิดกระบวนการอย่างนั้นขึ้นมาจะทำให้เซลล์ในร่างกายนั้นผิดปกติ  จนในที่สุดก็เป็นต้นเหตุของการเกิดภาวะเป็นพิษในร่างกาย  และถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานเข้าโรคร้ายต่างๆ ก็จะตามมา
                กระบวนการทั้งหมดนั้น  ฟังดูแล้วสลับซับซ้อนและเป็นไปได้ยากสำหรับบางท่าน แต่ความเป็นจริงแล้วมันเกิดขึ้นได้ง่ายมาก ยิ่งหากว่าเราได้กินอาหารที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดกระบวนการอนุมูลอิสระอย่างอาหารพวกปิ้ง ย่าง เผา การทอดจนเกรียม ยิ่งทำให้อนุมูลอิสระนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายและมีจำนวนมากอีกด้วย
                อย่างที่เรารู้กันว่าอนุมูลอิสระนั้น  เป็นตัวต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสารพิษในร่างกาย และส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
                ที่มาของอนุมูลอิสระนั้น มีด้วยกัน 4 แหล่งใหญ่ๆ คือ
                1. จากอาหาร
                อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นมาจากอาหารที่เรากินเข้าไปทุกวันนี้  เป็นสาเหตุลำดับต้นเลย เพราะว่าอาหารในสมัยนี้มีการเพิ่มสารเคมีผสมเข้าไป  ทั้งในเรื่องของสารแต่งสี สารแต่งกลิ่น สารปรุงรส สารกันบูด เป็นต้น  นั่นยังไม่รวมถึงการปนเปื้อนสารพิษมาจากกระบวนการผลิตทั้งปุ๋ย ยากำจัดวัชพืช  ยาฆ่าแมลง เป็นต้น ดังนั้นอย่างที่เห็นว่าคนเราสมัยนี้  ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างมาก  ให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ  และปลอดสารพิษอย่างแท้จริง พยายามที่จะเข้าใกล้วิถีแห่งธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
                2. จากมลพิษ
                มลพิษที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ต่างเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้เหมือนกัน  ทั้งเรื่องของสารตะกั่ว ควันรถ ควันบุหรี่ ควันไฟต่างๆ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะสร้างอนุมูลอิสระในตัวเราแล้ว ยังเป็นการทำลายชั้นบรรยากาศของโลกอีกด้วย
                3. อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเองภายในร่างกาย
ในกรณีนี้เป็นอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเอง  ภายในร่างกายของเรา ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส  และการอักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุของกลุ่มโรคภูมิต้านทานตัวเอง (Autoimmune diseases) เช่น โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี รัสสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระบริเวณผิวหนัง
4. จากระบบขับถ่าย
จากการวิจัยพบว่า  แหล่งที่พบอนุมูลอิสระที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ อุจจาระที่หมักหมมในร่างกาย  โดยไม่ได้ขับถ่ายตามปกติ จะเป็นการทำให้เกิดกระบวนการย่อยสลายของแบคทีเรียขึ้น ผลที่ได้ก็จะเป็นอนุมูลอิสระจำนวนมาก
ดังที่จะสังเกตได้ว่าคนที่ท้องผูก มักจะมีอาการไม่สบายตามาหลายๆ อย่าง นั่นเป็นเพราะร่างกายมีอนุมูลอิสระมาก และทำให้เกิดสารพิษในร่างกาย การไม่สบายเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า ร่างกายอยู่ในภาวะวิกฤต
เรื่องของ “อนุมูลอิสระ” ที่ก่อเกิดสารพิษขึ้นมา เชื่อเหลือเกินว่าคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเมื่อใดที่เจ้าสิ่งนี้มีเพิ่มมากขึ้น ย่อมหมายความว่า  ร่างกายของเราสุ่มเสี่ยงเหลือเกินกับภาวะที่เป็นพิษในร่างกาย และยิ่งหากว่าปล่อยปละละเลย  ก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายนานา ชนิด และทำให้ชีวิตนั้น  อยู่ในภาวะคับขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เพเนโลเป้ แซซ” (Penelope Sach) นักเขียนหนังสือสุขภาพชื่อดัง ซึ่งมีผลงานที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ได้เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการล้างพิษของเจ้าอนุมูลอิสระในหนังสือที่ชื่อว่า “Detox by Penelope Sach” โดยที่ในหนังสือได้กล่าวถึงสาเหตุในการรวมตัวของอนุมูลวายร้ายว่ามีได้หลายทาง
ซึ่งเธอนั้น ให้ความสำคัญกับสาเหตุที่มาจากการบริโภคน้ำตาลทรายขาวและอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้เข้ามาอยู่ในชีวิตของคนเรามากขึ้นทุกวัน ในชื่อของ “อาหารขยะ” ยิ่งในหมู่คนเมืองทั้งหลายที่จะเน้นเรื่องของอิ่มท้องมากกว่าจะคำนึงถึงสุขภาพนั้น จึงส่งผลให้เกิดสารพิษในร่างกายเป็นจำนวนมาก
แต่มิใช่เพียงอาหารขยะเท่านั้นที่ทำให้เกิดสารพิษในร่างกาย ในหนังสือของเธอยังได้พูดถึงการเกิดสารพิษจากสาเหตุอื่นๆ ที่เข้ามาสู่ร่างกายทั้งโดยรู้และไม่รู้ตัว ล้วนส่งผลต่อสุขภาพทั้งสิ้น อาทิเช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา เครียดจากงาน เป็นต้น นอกจากนั้นเพเนโลเป้ ยังได้ถ่ายทอดขั้นตอนการล้างพิษ ตามอวัยวะต่างๆ ทั้งตับ ไต ลำไส้ ถุงน้ำดี
นอกจากนั้นยังมีการพูดถึงชนเผ่าในทวีปแอฟริการและอเมริกาใต้ และชนเผ่าทางตอนเหนือของอินเดียที่เรียกตัวเองว่า “ชาวฮันซา” เป็นกลุ่มชนซึ่งรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการใดๆ ทั้งสิ้นล้วนเป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง  ซึ่งส่งผลให้ชนเผ่านี้พบอัตราการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ต่ำกว่าพวกคนปกติมาก ซึ่งถือว่าเป็นแรงจูงใจให้คนเรานั้น หันมาให้ความสำคัญกับการกินมากยิ่งขึ้น
ดังที่พูดมาทั้งหมด เชื่อว่าหลายท่านคงจะเริ่มเห็นแล้วว่า วายร้ายที่ชื่ออนุมูลอิสระนั้น น่ากลัวเพียงใด  แต่อย่างไรก็ตาม หากเรารู้เท่าทันย่อมไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด  ทุกวันนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้  เชื่อว่าบทบาทของอนุมูลอิสระที่จะก่อสารพิษให้ร่างกายเรานั้นจะน้อยตามไปด้วย

การล้างพิษ แท้จริงแล้วคืออะไร


                ความหมายของการล้างพิษที่แท้จริงนั้น คือ กระบวนการกำจัดของเสียและสารพิษแปลกปลอมที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกายให้หมดไป  โดยระบบขับถ่าย  ระบบนี้จะเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มตื่นขึ้นมาภายใน 1 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งหากผ่านหนึ่งชั่วโมงไปแล้วร่างกายของเรายังไม่ได้ขับถ่ายของเสียออกไป  ระบบขับถ่ายก็จะหยุดทำงานลงชั่วคราว เมื่อสะสมเป็นพฤติกรรมเฉพาะตัวอย่างยาวนานร่างกายจะเริ่มเสียสมดุลมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งร่างกายก็ไม่สามารถปล่อยสารพิษออกมาได้ตามกำหนด  สิ่งเหล่านั้นจะนำไปสู่อาการเจ็บป่วยได้ในที่สุด  ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำมูก น้ำลาย ขี้ตา ขี้ฟัน อาเจียน เรอ ผายลม หาว ฯลฯ  ล้วนเป็นผลของกระบวนการล้างพิษของร่างกายตามธรรมชาติทั้งสิ้น  ดังนั้นหากเราเข้าใจถึงระบบการล้างพิษของร่างกายเราอย่างถ่องแท้แล้ว  เราย่อมสามารถเอาชนะพิษร้ายทั้งหลายที่อยู่ภายในตัวของเราได้โดยไม่ยากเลย
                วิถีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมการกินการอยู่ของคนเราในแต่ละวัน  เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญ  ที่ก่อเกิดสารพิษในร่างกาย ส่งผลกระทบให้ระบบการล้างพิษภายในร่างกายทำงานผิดปกติไป จึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณของเสียและสารพิษภายในร่างกายมีมากเกินกว่าที่ระบบการล้างพิษตามธรรมชาติจะสามารถจัดการกับตัวของมันเองได้ ซึ่งหากว่าร่างกายของเรามีของเสียและสารพิษเหล่านั้นสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก  ย่อมเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา ตั้งแต่โรคเรื้อรังเล็กๆ น้อยๆ  ทั้งหลาย ไปจนถึงโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง  โรคเบาหวาน และโรคความดัน เป็นต้น
                โดยปกติแล้ว  หากว่าภายในร่างกายของเรามีของเสียและสารพิษสะสมในปริมาณที่มาก  จนเป็นอันตรายถึงขั้นที่สามารถก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้  ร่างกายย่อมส่งสัญญาณเตือนออกมาให้เราได้รับทราบ ว่ามันกำลังต้องการความช่วยเหลือ  และความเอาใจใส่จากเรา เสมือนเป็นสัญญาณเพื่อบ่งบอกให้เราทราบล่วงหน้าว่าถึงเวลาที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม  ด้วยการล้างพิษเพื่อขับของเสียและสารพิษให้ออกไปจากร่างกาย
                สัญญาณของร่างกายที่บ่งบอกว่ามีสารพิษตกค้างอยู่ภายในมากนั้น สามารถสังเกตได้จากอาการต่างๆ ดังนี้
1.       มีอาการของโรคภูมิแพ้  มักแพ้อะไรง่าย เช่น แพ้กลิ่นต่างๆ  แพ้อากาศบ่อยๆ ฯลฯ
2.       มีภูมิต้านทานโรคต่ำ  ทำให้ไม่สบายหรือเป็นหวัดได้ง่าย
3.       ปวดศีรษะ  มึนงงบ่อยๆ  หรืออาจปวดถึงขั้นเป็นไมเกรน
4.       มีสิวและผดผื่นขึ้น
5.       ร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย  ไม่ค่อยมีแรง เซื่อมซึม ง่วงหาวบ่อย ไม่กระปรี้กระเปร่า
6.       นอนหลับยาก หรือรู้สึกว่านอนไม่พอ
7.       จุกเสียด  แน่นท้อง ปวดท้องเป็นประจำ  เนื่องจากระบบการย่อยอาหารมีปัญหา มักเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้
8.       มีกลิ่นปาก หรือมีแผลในช่องปาก
9.       ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
10.    อารมณ์แปรปรวนง่าย ประสาทตึงเครียด
11.    ผิวหมองคล้ำ  เกิดริ้วรอยง่าย  ผิวแห้งและหยาบกร้าน ดูแก่กว่าไว
12.    เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
13.    ขี้ลืม  สมองไม่ปลอดโปร่ง  คิดอะไรไม่ค่อยออก
14.    มักปวดเมื่อตามกล้ามเนื้อหรือข้อต่อต่างๆ
15.    ระบบขับถ่ายมีปัญหา ท้องผูกเป็นประจำ  หรือท้องเสียง่าย เป็นริดสีดวงทวาร
หากคุณเริ่มมีการพบว่าร่างกายของคุณมีอาการเช่นนี้เกิดขึ้น  ควรทำการล้างพิษ เพื่อคงสุขภาพแข็งแรงเอาไว้
เสริมสร้างร่างกายให้กลับมามีความสมดุล  สดชื่น ยาวนาน  อย่างไร้กังวล  และยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย  ก่อนที่โรคร้ายจะมาเยือนนะครับ

ทำไมเราต้องล้างพิษในร่างกาย


                ที่มาของพิษร้ายในร่างกายเรานั้นเกิดจากอาหารและสิ่งที่เราทานเข้าไปทุกวันนี้ พิษเหล่านั้นต่างปนเปื้อนเข้ามาพร้อมอาหารการกิน “คุณเคยพบว่าตัวเองนอนไม่หลับ ทั้งที่เป็นเวลานอนปกติ เวลาทำงานรู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ใจสั่น หรือทำงานเพียงเล็กน้อย แต่รู้สึกเหนื่อยหอบมากกว่าปกติไหม”
                อาการทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็นอาการที่แสดงถึงความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ หลายคนแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการกินยาทั้งยาปฏิชีวนะ หรือยาบำรุงกำลังต่างๆ มากมาย ซึ่งนั่นย่อมเกิดผลข้างเคียงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนถึงกับไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการเหล่านี้ ซึ่งแพยท์ส่วนมากก็มักจะให้คำแนะนำต่างๆ นานาไป  แต่ก็ยังไม่หายจากอาการทั้งหมด  หากจะบอกว่าคำแนะนำของแพทย์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผิดก็คงไม่ใช่ เพราะปัญหาส่วนหนึ่งนั้นก็เกิดขึ้นมาจากคนไข้เอง  ว่าปฏิบัติตามคำแนะนำได้มากน้อยเพียงใด
                หากจะว่าไปแล้วเรื่องของการเสื่อมโทรมลงของสังขารมนุษย์นั้นย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของการเสื่อมโทรมก็คือ อาการดังกล่าวที่ได้พูดถึงข้างตนซึ่งหลายคนนิยมใช้วิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยยาแผนปัจจุบัน  เพราะรวดเร็วทันใจ  แต่ก็มีผลกระทบข้างเคียงต่อร่างกายรวดเร็วเช่นกัน
                ทุกวันนี้การแพทย์สมัยใหม่นั้น ได้พัฒนาขึ้นมาก และเริ่มมองเห็นต้นเหตุของปัญหาเรื่องสุขภาพได้อย่างแท้จริง ซึ่งพอสรุปได้ว่าเป็นเพราะมนุษย์นั้นอยู่ห่างไกลธรรมชาติมากขึ้น  ทั้งการกิน การนอน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวันทุกอย่าง ล้วนแต่แตกต่างจากที่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเคยปฏิบัติมา  สิ่งเหล่านี้ล้วนบั่นทอนสุขภาพของมนุษย์ให้แย่ลง
                ซึ่ง “ดร.ดไวท์ แมคคี” ผู้อำนวยการทางการแพทย์ของสถาบันสุขภาพสากลในสหรัฐอเมริกา ได้เคยกล่าวเกี่ยวกับวิพีชีวิตของคนอเมริกันเอาไว้ว่า “ผู้ใดที่ดำเนินวิถีชีวิตแบบชาวอเมริกัน ติดต่อกันสักสิบปีขึ้นไป คนผู้นั้นจะมีขยะอยู่ในร่างกายมากกว่า 70 ล้านกระป๋อง นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าการดำเนินชีวิต  ย่อมทำให้เกิดความน่ากลัวเพียงใด
                ทุกวันนี้จึงเกิดแนวคิดในการแก้ปัญหาเรื่องของสุขภาพขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “ธรรมชาติบำบัด” ซึ่งหนึ่งในนั้นพูดถึงเรื่องของการล้างสารพิษในร่างกาย  การล้างพิษในร่างกายนั้นสำคัญอย่างไร  แล้วทำไมเราต้องทำ และพิษที่อยู่ในร่างกายของเรานั้นมันมาจากไหน?
                ที่มาของพิษร้ายในร่างกายเรานั้น เกิดขึ้นจากอาหารและสิ่งที่เรากินเข้าไป  ทุกวันนี้  พิษเหล่านั้นต่างปนเปื้อนเข้ามาพร้อมอาหารการกิน นอกจากนั้นยังมีพิษที่เกิดจากการที่ร่างกายเราไปสัมผัสกับสิ่งภายนอกอย่างเช่น  ฝุ่นละออง แสงอาทิตย์  หรือน้ำสกปรก พิษร้ายเหล่านั้น หากว่าสะสมอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน และมีจำนวนมากขึ้น  ย่อมจะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมได้อย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่ควรเป็น  นั่นจึงเป็นที่มาว่า  ทำไมเราต้องล้างพิษเหล่านั้น

ข้อ 9 งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์


                ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอล์กอฮอล์เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับมีอุบัติการณ์ของโรคไม่ติดต่อกันเนื่องมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่น่าตกใจยิ่ง  คือ  อัตราการตายอันเกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงขึ้นด้วยสาเหตุสำคัญในการเกิดอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมาจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ยานพาหนะ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  
หมายรวมถึง  สุรา  เบียร์ ไวน์  บรั่นดี  กระแช่  ตลอดจนเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่




                การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำจะมีโทษและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  และสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมาย  ดังนี้
-          มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
-          มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับแข็ง เพราะพิษแอลกอฮอล์  มีฤทธิ์ทำลายเนื้อตับผู้ที่ดื่มเป็นประจำ จะมีโอกาสเป็นโรคตับแข็งสูงถึง เท่าของผู้ที่ไม่ดื่ม
-          มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคแผลในกระเพาะและลำไส้  และโรคมะเร็งของหลอดอาหาร ในรายที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง  ส่วนมากจะลงท้ายด้วยโรคตับแข็ง  และโรคติดเชื้อเช่น  ปอดบวมและวัณโรค
-          ในรายที่ดื่ม  โดยไม่กินข้าวและกับข้าว  จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคขาดสารอาหารได้  ในทางตรงกันข้ามในรายที่ดื่มพร้อมกินกับแกล้มที่มีไขมันและโปรตีนสูง  จะมีโอกาสเป็นโรคอ้วนซึ่งมีโรคอื่นๆ ตามมามาก
-          มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ฤทธิ์แอลกอฮอล์จะไปกดสมอง  ศูนย์ควบคุมสติสัมปชัญญะและศูนย์หัวใจ  จึงทำให้ขาดสติ เสียการทรงตัว สมรรถภาพการทำงานลดน้อยลง และทำให้เกิดความประมาท อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งการตายของคนไทยในลำดับต้นๆ ในปัจจุบัน
-          ก่อให้เกิดการสูญเสียเงินทองและเกิดความไม่สงบสุขในครอบครัวได้ตลอดเวลา
ดังนั้น  ในรายที่ดื่มเป็นประจำจะต้องลดปริมาณการดื่มให้น้อยลงและถ้าหากงดดื่มได้จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ  ส่วนในรายที่เริ่มดื่มและดื่มเป็นบางครั้ง  ควรงดดื่ม  และที่สำคัญต้องไม่ขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมาจากการดื่มเครื่อดื่มที่มีแอลกอฮอล์  สำหรับรายที่ไม่เคยดื่มเลย  ไม่ต้องริเริ่มเพราะท่านคือผู้ที่โชคดีที่สุดแล้ว